การดำรงชีวิตแบบธรรมชาติของ "ชาวฮันซา"

วิธีธรรมชาติของ “ชาวฮันซา”
ชาวฮันซาไม่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก
ทำไมชาวฮันซาไม่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก คำตอบ “ไม่มีเนื้อสัตว์ในดินแดนของฮันซา” ชาวฮันซามีโอกาสรับประทานเนื้อแพะภูเขาเพียงปีละ 1-2 ครั้ง ในงานพิธีประจำปี หรืองานสมรสหมู่ปีละครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีต้นหญ้าเพียงพอสำหรับเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงสัตว์เป็นอาหารจึงมีข้อจำกัดมากต้องได้รับอนุญาตเป็นเฉพาะรายเท่านั้น แม้แต่การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว
ปัจจุบันคนไทยบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักตามแบบชาวตะวันตกมาประมาณ 60 ปีแล้ว ตำราแพทย์รุ่นนี้สอนให้คนไทยรับประทาน เนื้อ นม ไข่ ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรเพราะเป็นประโยชน์ แต่ที่พลาดคือ เนื้อ นม ไข่ ที่ไม่เป็นธรรมชาติแต่เป็นสัตว์ที่ถูกขังและขุนด้วยสารเคมี ด้วยจุดประสงค์ คือรับประทานอร่อยได้น้ำหนัก เจ้าของธุรกิจต่างพากันร่ำรวย แต่ผู้บริโภคกลับล้มป่วย และอายุสั้นเพราะสารพิษเหล่านี้ ตัวอย่าง
ประเภท                                                                                  ชนิดของสารเคมี
วัวเลี้ยงด้วย                                           สารดีอีเอส(DES)ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง                 ยาปฏิชีวนะ
หมูเลี้ยงด้วย                                          เลนดอน ซัลบูทามอล                                           ยาปฏิชีวนะ
ไก่เลี้ยงด้วย                                           ฮอร์โมน (ฝังหัวไก่)                                                                ยาปฏิชีวนะ

เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูบางราย  เลี้ยงตามธรรมชาติไม่ใช้สารเคมีใดๆ  เลยปรากฏว่าเนื้อหมูมีสีไม่แดงพอ  เอเย่นต์ไม่รับซื้อบอกว่าเนื้อต้องแดงชัดดีเหมือนรายอื่นที่เขาเลี้ยงด้วยสารเคมี
เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูหลายแห่งก่อนจะชำแหละหมู 2-3 วัน  จะเติมสารฟอร์มาลีนซึ่งเป็นยาดองศพลงไปในอาหารหมู่ด้วย  หลังจากหมูถูกชำแหละแล้วเนื้อหมูจะอยู่ได้นานหลายวันโดยไม่เน่าเสีย
ในอดีตยังไม่มีตู้เย็น  แม่บ้านจะไปจ่ายตลาดวันละ 2 ครั้ง เช้า 1 ครั้ง และบ่ายๆอีก 1 ครั้ง  อาหารทุกอย่างเป็นธรรมชาติ  เนื้อสัตว์ที่ชำแหละแล้วจะใช้เวลา 1-4 ชั่วโมงกว่าจะถึงมือผู้ซื้อ  หลังจากซื้อมาแล้วจึงเก็บได้ไม่นานเกิน 3-4 ชั่วโมงจะเริ่มมีกลิ่นเหม็น
แต่ทุกวันนี้เนื้อสัตว์ทั้งหลายนอกจากจะเลี้ยงผิดธรรมชาติแล้ว  ยังมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่มอร่อยและเก็บได้นาน  ผลคือเป็นพิษร้ายที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน
ร่างกายต้องการโปรตีนวันละ 0.6-0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ดูจากตารางข้างล่างนี้
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)                                                                     โปรตีน (กรัม)
                40                                                                                           24-32
                45                                                                                           26-36
                50                                                                                           30-40
                55                                                                                           32-44
                60                                                                                           36-48
                65                                                                                           39-52
                70                                                                                           42-56
จะเห็นได้ว่าร่างกายต้องการโปรตีนวันละประมาณ 30-50 กรัมเท่านั้น
อาหารธัญพืชและผักผลไม้ให้โปรตีนวันละ 20-50 กรัม  ผู้ที่รู้จักเลือกจะไม่ขาดโปรตีนเลย  ชาวฮันซารับประทานเนื้อสัตว์ปีละ ครั้งสองครั้ง  จึงไม่ได้ขาดโปรตีนแต่ประการใด
                โปรตีนส่วนเกินจากเนื้อสัตว์ทำให้เกิดเป็นพิษในร่างกาย 2 ประการ
1.ไตต้องทำงานหนักเกินกำลัง  เพื่อสกัดธาตุไนโตรเจน  ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโปรตีนออกทางปัสสาวะ  นั่นคือไตต้องทำงานหนักเป็น 2-4 เท่า  เพราะทุกวันนี้มนุษย์เราบริโภคโปรตีนมากเกินความต้องการของร่างกาย
2.เศษโปรตีนรวมกับไขมันส่วนเกิน  ทำให้เป็นพิษและยังไปอุดท่อลำไส้  โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่  พิษจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย  เวลาผ่านไปหลายๆ ปี  ท่อลำไส้ใหญ่จะถูกอุดจนเกือบตันด้วยเศษอาหารที่เน่าขังเหล่านี้  ทำให้อายุสั้นลง  คนสูงอายุจะรู้สึกได้  เพราะมื้อไหนรับประทานเนื้อสัตว์มากจะรู้สึกมีอาการไม่สบายทันที  บางรายอาจจะป่วยไปหลายวันเลยทีเดียว

จะให้เลิกบริโภคเนื้อสัตว์คงไม่เหมาะสม  วิธีทำได้ง่ายๆ  คือ  ให้ลดการบริโภคของเนื้อสัตว์ลงครึ่งหนึ่ง  พยายามลดลงไปเรื่อยๆ  จนเหลือเนื้อสัตว์วันละ 1 ขีด  ในผู้ใหญ่ส่วนเด็กวัยรุ่นวันละขีดครึ่ง  ผู้ใหญ่อายุเกิน 65 ปีขึ้นไป  ควรเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ยกเว้นแต่เนื้อปลารับประทานได้พอควร
อย่าลืมว่าชาวตะวันตกมีข้อผิดพลาดมาแล้ว  เช่น  ใช้ก๊าซฟรีออนและคลอโรฟลูออโรคาร์บอนในตู้เย็นและแอร์รถยนต์มาหลายสิบปี  กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นสารพิษเมืองไทยเพิ่งสั่งเลิกใช้ไปเมื่อ 2-3 ปีมานี้เอง  ขณะเดียวกับคนแถบตะวันตกเองก็กำลังตื่นตัวในการรณรงค์รับประทานอาหารจากธรรมชาติ  เช่น  เนื้อสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยสารเคมีและไม่มีสารกันบูด  พืชผักที่ปลอดสารพิษที่เรียกว่า  ผักออร์แกนนิคเป็นต้น
ชาวฮันซา บริโภคพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลักโดยเฉพาะผักสด
เพราะไม่มีเนื้อสัตว์ ชาวฮันซา รับประทานพืชผลไม้ผักวันละกว่า 1 กก. ส่วนใหญ่เป็นของสดทั้งสิ้น ชาวฮันซาไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่มีเตาแก๊ส แม้แต่น้ำมันก๊าด และเทียนไขเป็นของห้ามใช้สำหรับชาวฮันซา การหุงหาอาหารเท่าที่จำเป็น เพราะเชื้อเพลิงคือไม้ฟืนเป็นของหายาก ไม่มีพื้นที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวจ้าว ข้าวเหนียวได้ แต่มีข้าวสาลีเอามาทำขนมปังได้ไม่มากนัก และนำนมแพะมาทำเป็นโยเกิร์ต
การบริโภคอาหารพืชผักผลไม้สด มีผลทำให้ชาวฮันซาถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นการล้างสารพิษทางธรรมชาติที่ดีที่สุด
ความสำคัญของพืชผักผลไม้มีมากมาย เช่น มนุษย์ที่มีอายุยืนเกินร้อยปี โดยมีสุขภาพแข็งแรงอย่างชาวฮันซา ล้วนแต่บริโภคพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลักมาตลอดหลายชั่วอายุคน

ติดต่อปรึกษาเพื่อสุขภาพ
โตหนุ่ม  นิิติพัฒน์  หรือ คุณพัช  พลอยนภัส 082-4787900